หลวงพ่อเทียนผู้รู้แจ้งเห็นจริง
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เดิมชื่อพันธ์ อินทผิว เกิดเมื่อวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๔ ที่บ้านบุฮม ต.บุฮม อ.เชียงคาน จ.เลย บิดาชื่อจีน มารดาชื่อโสม บิดาเสียชีวิตตั้งแต่หลวงพ่อยังเด็ก
ในสมัยนั้นหมู่บ้านบุฮมยังไม่มีโรงเรียน หลวงพ่อจึงยังไม่ได้เรียนหนังสือ ในวัยเด็กได้ช่วยมารดาทำไร่ทำนา เช่นเดียวกับเด็กอื่นๆ ในหมู่บ้าน
ในสมัยนั้นหมู่บ้านบุฮมยังไม่มีโรงเรียน หลวงพ่อจึงยังไม่ได้เรียนหนังสือ ในวัยเด็กได้ช่วยมารดาทำไร่ทำนา เช่นเดียวกับเด็กอื่นๆ ในหมู่บ้าน
เมื่ออายุได้ ๑๐ กว่าปี หลวงพ่อได้บรรพชาเป็นสามเณร อยู่กับหลวงน้าที่วัดในหมู่บ้าน ได้เรียนตัวหนังสือลาวและตัวหนังสือธรรม พออ่านออกและเขียนได้บ้าง และได้เริ่มฝึกกรรมฐานตั้งแต่คราวนั้น
หลวงพ่อได้ปฏิบัติหลายวิธีเช่นวิธีพุทโธ วิธีนับหนึ่ง สอง สาม หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรได้ ๑ ปี ๖ เดือน ก็ลาสิกขาบทออกมาช่วยทางบ้านทำมาหากิน
เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี หลวงพ่อได้อุปสมบทเป็นภิกษุตามประเพณี ได้ศึกษาและทำสมาธิกับหลวงน้าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากบวชได้ ๖ เดือน ได้ลาสิกขาบทออกมาและแต่งงานมีครอบครัวเมื่ออายุ ๒๒ ปี มีบุตรชาย ๓ คน
หลวงพ่อมักจะเป็นผู้นำของคนในหมู่บ้านในการทำบุญ จนเป็นที่นับถือ และได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านถึง ๓ ครั้ง แม้จะมีภาระมากก็ยังสนใจการทำสมาธิและได้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอตลอดมา
ต่อมาหลวงพ่อได้ย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอเชียงคาน เพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือ ได้ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้าเดินเรือค้าขายขึ้นล่องตามลำน้ำโขงระหว่างเชียงคาน-เวียงจันทน์ บางครั้งไปถึงหลวงพระบาง ทำให้ได้มีโอกาสพบปะกับพระอาจารย์กรรมฐานหลายรูป จึงเกิดความสนใจธรรมะมากขึ้น
นอกจากนี้ หลวงพ่อยังเห็นว่าแม้จะทำความดี ทำบุญ และปฏิบัติกรรมฐานมาหลายวิธีตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะความโกรธได้ จึงอยากค้นคว้าหาทางออกจากสิ่งเหล่านี้
ปี พ.ศ.๒๕๐๐ เมื่ออายุได้ ๔๕ ปีเศษ หลวงพ่อได้ออกจากบ้านโดยตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับจนกว่าจะพบธรรมะที่แท้จริง ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดรังสีมุกดาราม ต.พันพร้าว อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย (ปัจจุบันคือ
อ.ศรีเชียงใหม่) โดยทำกรรมฐานวิธีง่ายๆ คือ ทำการเคลื่อนไหว แต่ท่านไม่ได้ภาวนาคำว่า “ติง-นิ่ง” (ติงแปลว่าไหว) อย่างที่คนอื่นทำกัน เพียงให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจเท่านั้น
อ.ศรีเชียงใหม่) โดยทำกรรมฐานวิธีง่ายๆ คือ ทำการเคลื่อนไหว แต่ท่านไม่ได้ภาวนาคำว่า “ติง-นิ่ง” (ติงแปลว่าไหว) อย่างที่คนอื่นทำกัน เพียงให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจเท่านั้น
ในช่วงเวลาเพียง ๒-๓ วัน หลวงพ่อก็สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด โดยปราศจากพิธีรีตอง หรือครูบาอาจารย์ ในเวลาเช้ามืดของวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐
หลังจากนั้นหลวงพ่อได้กลับมาเผยแพร่ชี้แนะสิ่งที่ท่านได้ประสบมา แก่ภรรยาและญาติพี่น้องเป็นเวลา ๒ ปี ๘ เดือน โดยในขณะนั้นท่านยังเป็นฆาราวาสอยู่
วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงพ่อได้อุปสมบทเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าถ้าหากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว จะทำให้การเผยแพร่ธรรมะสะดวกขึ้น
คำสอนของหลวงพ่อได้แพร่หลายออกไปทั้งในและต่างประเทศ ได้มีผู้ปฏิบัติตามเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หลวงพ่อได้อุทิศชีวิตให้กับการสอนธรรมะอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยหรือสุขภาพร่างกาย จนกระทั่งอาพาธเป็นโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหารเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ถึงแม้ว่าสุขภาพของท่านจะทรุดโทรมลงมาก แต่ท่านก็ยังคงทำงานของท่านต่อไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
หลวงพ่อได้ละสังขารอย่างสงบ ณ.ศาลามุงแฝก บนเกาะพุทธธรรม สำนักปฏิบัติธรรมทับมิ่งขวัญ ต.กุดป่อง อ.เมือง จ.เลย เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๑ เวลา ๑๘.๑๕ น. รวมอายุได้ ๗๗ ปี และได้ใช้เวลาอบรมสั่งสอนธรรมะแก่คนทั้งหลายเป็นเวลา ๓๑ ปี
(ประวัติหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ คัดลอกจากหนังสือของมูลนิธิหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ)